วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556


ผู้กองยอดรัก



ผู้กองยอดรัก ยอดรักผู้กอง และ ผู้กองอยู่ไหน เป็นนวนิยายของ กาญจนา นาคนันทน์ เป็นเรื่องราวของความรักของพลทหารกับผู้กองสาวเจ้าเสน่ห์ที่แฝงไว้ด้วยความสนุกสนาน ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์และละครโทรทัศน์มาแล้วหลายครั้ง ถูกนำมาสร้างทำเป็นภาพยนตร์ 2 ครั้ง (พ.ศ. 2516, พ.ศ. 2524) และละครโทรทัศน์ถึง 6 ครั้ง (พ.ศ. 2515, พ.ศ. 2522, พ.ศ. 2531, พ.ศ. 2538, พ.ศ. 2545, พ.ศ. 2550) โดยแต่ละครั้งจะมีชื่อเรื่องต่างกัน เช่น ผู้กองยอดรัก,ยอดรักผู้กอง,ผูกองยอดรัก-ยอดรักผู้กอง,ผู้กองอยู่ไหน
บทประพันธ์นี้ถูกนำมาสร้างทำเป็นภาพยนตร์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2516 ในชื่อว่า ผู้กองยอดรัก สร้างโดย ปัฐวิกรณ์แผนกภาพยนตร์ โดย จินตนา ไชยกูล เป็นผู้อำนวยการสร้าง กำกับการแสดงโดยเนรมิต นำแสดงโดย สมบัติ เมทะนีสุภัค ลิขิตกุลรอง เค้ามูลคดีมีศักดิ์ นาครัตน์, สุมาลี ทองหล่อ ฉายครั้งแรกวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2516 ที่โรงภาพยนตร์โคลีเซี่ยม
และนำกลับมาสร้างใหม่เป็นครั้งที่สอง ในปี พ.ศ. 2524 ในชื่อว่า ยอดรักผู้กอง สร้างโดย พูนทรัพย์โปรดักชั่น กำกับโดย สมเดช สันติประชา นำแสดงโดย จตุพล ภูอภิรมย์เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์ล้อต๊อกพิศมัย วิไลศักดิ์เพ็ญพักตร์ ศิริกุลเศรษฐา ศิระฉายา ฉายครั้งแรกวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2524
บทประพันธ์นี้ถูกนำมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์มาแล้วหลายครั้ง ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2515 แสดงโดย ชุมพร เทพพิทักษ์ และกนกวรรณ ด่านอุดม ออกอากาศทาง ช่อง 4 บางขุนพรหม
ครั้งที่ 2 ออกอากาศทาง ช่อง 5 ในปี พ.ศ. 2522 สร้างโดย รัศมีดาวการละคร นำแสดงโดย นิรุตติ์ ศิริจรรยา และดวงใจ หทัยกาญจน์ ได้รับความนิยมอย่างมาก ถือว่าโด่งดังมากมายเลยทีเดียว 
ต่อมา ออกอากาศทาง ช่อง 9 ถึง 2 ครั้ง ในปี พ.ศ. 2531 สร้างโดย สีบุญเรืองสยามสตูดิโอ นำแสดงโดย ทูน หิรัญทรัพย์, สาวิตรี สามิภักดิ์ และในปี พ.ศ. 2538 สร้างโดย อัครมีเดีย นำแสดงโดย วรุฒ วรธรรมชลิตา เฟื่องอารมย์หนู เชิญยิ้ม
ส่วนในปี พ.ศ. 2545 ออกอากาศทาง ช่อง 3 สร้างโดย อาร์เอส นำแสดงโดย ศรราม เทพพิทักษ์, กัญญารัตน์ จิรรัชชกิจ ก็ได้รับความนิยมอย่างมากเช่นกัน และครั้งล่าสุดในปี พ.ศ. 2550 ออกอากาศทาง ช่อง ITV สร้างโดย ทีวี ธันเดอร์ นำแสดงโดย เกียรติกมล ล่าทาไดอาน่า จงจินตนาการ



วันอังคารที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556

นักนิเทศศาสตร์ยุคดิจิตอล

ปัจจุบันโลกของเราได้มีการนำสื่อใหม่มาใช้ จนกลายมาเป็นยุคดิจิตอลซึ่งในยุคดิจิตอลนี้ก็มีความทันสมัยไวต่อเหตุการณ์จึงทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ละทิ้งสื่อเก่าไปและหันมาให้ความสำคัญกับสื่อใหม่มากขึ้นโดยทิ้งสื่อเก่าไว้เป็นทางเลือกในชั่วขณะ
                 เราลองมาคิดดูว่าถ้าโลกเรายังไม่มีการพัฒนาและยังคงใช้สื่อเก่าอยู่โลกของเราจะเป็นอย่างไรการสื่อสารหลายๆอย่างก็คงจะล่าช้าออกไปแต่เมื่อมีการพัฒนาให้มีโลกของสื่อใหม่เกิดขึ้นการพัฒนาก็เป็นไปอย่างรวดเร็วจนก้าวหน้าและทันสมัยเป็นอย่างมากจึงทำให้ผู้บริโภคเปลี่ยนไปตามยุคตามสมัยโดยไม่ลืมว่ามีสื่อเก่าอยู่ แต่ตอนนี้ผู้บริโภคอาจจะให้ความสำคัญกับยุคดิจิตอลมากเพราะมีการทำงานที่รวดเร็ว ทันต่อเหตุการณ์เลยทำให้คนมีความสนใจในสื่อเก่าน้อยลง
                 และในตอนนี้ก็มีการสร้างจุดต่างนักนิเทศศาสตร์ป้อนตลาดยุคดิจิตอล ม.ศรีปทุม ประเดิมปั้นนักศึกษาสู่นักข่าวมืออาชีพ รุกกระแสดิจิตอล หวังใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารใหม่อย่างครบวงจร ย้ำโลกดิจิตอล นักข่าวต้องพัฒนาคความสามารถด้านเทคโนโลยีควบกับรู้เท่าทันสถานการณ์ และเลือกใช้เครื่องมือทันสมัย
จากการเล็งเห็นความสำคัญของ วิวัฒนาการด้านคอมพิวเตอร์ ทำให้วันนี้สถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาหลายแห่ง หันมาสนใจเทคโนโลยีมากขึ้น โดยมีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพ นิสิต นักศึกษา ให้มีความรู้คู่กับโลกดิจิตอล และล่าสุด มหาวิทยาลัยศรีปทุม ก็ประเดิมขึ้นเป็นแห่งแรก"ต้อง เข้าใจก่อนว่า ยุคนี้เป็นยุคของโลกออนไลน์ ทุกคนใช้อินเทอร์เน็ตและเข้าถึงสื่อดิจิตอล ผู้รับสารเองพยายามเปรียบเทียบการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็น Read Only Internet และเว็บบล็อก ทำให้นักสื่อสารยุคใหม่ต้องมองให้กว้างขึ้น เข้าใจผู้รับสารยุคนี้ ไม่ได้อ่านอย่างเดียว หรือเสพข้อมูลที่ส่งมาให้เท่านั้น แต่สามารถเขียนโต้ตอบกลับมาได้ โดยผ่านเครื่องมือดิจิตอลที่เรียกว่า เว็บบล็อก"ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารบนสื่อออนไลน์
                  ดังนั้นเมื่อโลกมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเราก็ต้องเป็นนักนิเทศศาสตร์ยุคดิจิตอลที่เราต้องรู้และทำความเข้ากันกับมันปรับตัวให้ตามทันโลกและทันกระแสและมีจิตสำนึกในการเป็นนักนิเทศศาสตร์ที่ดีควบคู่ไปด้วยจึงจะทำให้เราประสบผลสำเร็วแล้วก้าวหน้า

                                                                                                                                                                                                                                                                                                         ๑  วันอังคาร

วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

โจฮันส์ กูเตนเบิร์ก ผู้ประดิษฐ์แท่นพิมพ์เคลื่อนที่

เพราะเทคโนโลยีด้านการพิมพ์หนังสือแท้ๆ จึงทำให้เราทุกวันนี้ สามารถรับและสืบ ทอด ตลอดจนเผยแพร่ความรู้ ได้อย่างเอนกอนันต์ เพราะหากไม่มีเทคโนโลยีด้านการ พิมพ์นี้แล้ว และให้เราคัดลอกความรู้ต่างๆ กันด้วยมือมนุษย์เองนั้น ก็ยากที่จะทำให้ความ รู้วิทยาการแขนงต่างๆ แพร่หลายอย่างกว้างไกลเฉกเช่นปัจจุบันนี้ โดยเทคโนโลยีการพิมพ์ที่ว่านั้น ต้องยกเครดิตให้กับนักประดิษฐ์ชาวเยอรมันผู้หนึ่ง นั่นคือ " โยฮันส์ กูเตนเบิร์ก" ถึงแม้ว่าก่อนหน้านั้นราว 400 ปี จีนแผ่นดินใหญ่สามารถ ประดิษฐ์การพิมพ์ได้แล้ว แต่ทว่าก็ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย เพราะมุ่งรับใช้ราชสำนักเป็นสำคัญ ไม่เหมือนกับกูเตนเบิร์ก ที่ทำให้การพิมพ์หนังสือแพร่หลายไปทั่วทุกหัวระแหง โดยนักประดิษฐ์ "แท่นพิมพ์แบบเคลื่อนที่" ผู้นี้ เกิดเมื่อปี  พ.ศ. 1941 ที่เมืองเมนซ์ ดินแดนเยอรมนี ได้ประดิษฐ์คิดค้นแท่นพิมพ์ดังกล่าวขึ้นมา เริ่มจากปี พ.ศ. 1982 ก่อน ที่จะพัฒนามาโดยลำดับ และได้พิมพ์เอกสารต่างๆ มากมาย จนถือว่าได้เป็นงานหลักใน ชีวิตของเขา แต่ที่นับว่ายิ่งใหญ่ เพราะรู้จักแพร่หลายกันอย่างที่สุด ก็คือ การพิมพ์ คัมภีร์ไบเบิล ซึ่งมีชื่อเรียกว่า "กูเตนเบิร์ก ไบเบิล" ที่พิมพ์เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 ก.พ. 1998 หรือวันนี้เมื่อ 554 ปีที่แล้ว ถึงกระนั้น เหตุที่กูเตนเบิร์กได้ชื่อว่า เป็นบิดาแห่งการพิมพ์ก็เนื่องมาจากเขาเกิดในดินแดนยุโรปที่มีตัวอักษรแค่ 26 ตัว และปัญญาชนของโลกใช้วิทยาการนี้เผยแพร่ความคิด เขาจึงได้ชื่อว่าผู้ผลิตเครื่องพิมพ์ เพราะวิทยาการของเขาส่งผลต่อวิทยาการแขนงต่างๆของโลกสืบมา แม้กูเตนเบิร์กจะไม่ใช่คนแรกที่คิดประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ แต่สิ่งที่ปฎิเสธไม่ได้ก็คือ เขามีส่วนสำคัญนการทำให้วิทยาการต่างๆของโลกได้รับการเผยแพร่ เพราะการค้นแท่นพิมพ์ของเขาถือเป็นการเริ่มต้นเข้าสู้โลกยุคใหม่ ในยุคซึ่งวิทยาการความรู้ได้เผยแพร่ออกสู่สาธารณชนได้อย่างง่ายดายด้วย การพิมพ์หนังสือ ต่างกับในอดีตที่ต้องอาศัยการคัดลอกด้วยลายมือ เขาจึงได้รับการยกย่องให้เป็น บิดาแห่งการพิมพ์สมันใหม่

๑ วันอังคาร
เรียงความ เรื่อง  ช่วงเวลาของการรับน้องใหม่

     สวัสดีครับ!  ใคร ๆ หลายคนก็คงเคย มีช่วงเวลา นี้มาแล้วทั้งนั้นสิ่นะครับ ในช่วง เวลาแรกเริ่มเข้าเรียนไม่ว่าจะในระดับอุดมศึกษาตอนต้น - ปลายหรือเรียกง่ายๆว่า ตอน ม.ต้น  ม.ปลาย จนมาถึง ระดับมหาวัทยาลัย  ที่เรียกว่า  ฤดูการ รับน้องใหม่ 

    เรื่องก็มีอยู่ว่า ... เมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมาในตอนนั้นตอนที่ ผมเพิ่งเรียนจบจาก สถาบันเดิม หรือเรียน จบม.6 จาก โรงเรียนเก่านั้นแหละ  ผมก็ได้  เข้ามาศึกษา ต่อ ที่มหาวิทยาลัย แห่งหนึ่ง ที่มีชื่อย่อว่า CRU ต่อมาได้เปลี่ยนเป็น CRRU เอาเป็นว่าจะ เป็นชื่ออะไรแต่ผมก็ได้เข้ามาเรียนเรียบร้อยแล้วละในวันนั้นวันที่ผมมารายงายตัวเพื่อจะเข้าศึกษา ก็ได้มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งมาแจ้งรายละเอียดก่อนการเปิดการเรียนการสอน ซึ่งนรายละเอียดเล่านั้นก็คือการ รับน้องใหม่ และผมก็ได้แต่พยักหน้าและทำตามที่เขาบอกตามภาษาเด็กๆที่ไม่เคยรู้เรื่องราวเกี่ยวกับในรั่ว มหวิทยาลัยเลย  ในวันแรกที่มีการรับน้องเขาให้ผมใส่เสื้อสีดำ กางเกงขายาวสีดำ แหละ เช็คชื่อ เพื่อ จะได้รู้ว่าจะมีใครมาหรือไม่มาบ่าง แหละในวันนั้น เป็นวันแรกเห็นเขาเรียกกันว่า วันเดินฐาน ของมหาวิทยาลัย ซึ่งวันนั้นคนเยอะมาก ๆ จะว่าปี 1 หรือนักศึกษาใหม่ มากันครบเลยก็ว่าได้ มันเลยทำให้ผมเริ่มมีความรู้สึกอยากที่จะโดนรับน้องสะแล้ว ! ก่อนจะรับน้อง พวกรุ่นพี่ก็มาจัดกลุ่มให้ ผมยังจำได้เลยว่า ผมอยู่กลุ่ม 2 ซึ่งมีคนเยอะมากพายในกลุ่มยังมีดาวกับเดือนอีกด้วย พอถึงเวลาเริ่มออกเดินไปสู่ฐานแต่ละฐานกลุ่มของผมได้ไปที่ฐาน 3 แล้วค่อย ๆ วนไปฐานอื่น ๆ ฐานที่ 3 แค่เริ่มเดินเข้าไป ผมก็โดน แป้งที่เป็น สีๆ ถ้าเต็มหน้าเลย และ พอรับน้องไปเรื่อยๆผมก็โดนสั่งให้ไปทำ ท่าปัดว้อง อีกซึ่งบอกได้คำเดียวว่าอายครับ  ต่อมาเดินไปฐานที่ 4 ไม่รู้เหมือนกันว่าจะโดนอะไรอีก แต่มันก็ทำให้ผมเริ่ม สนุกไปกับการรับน้องแล้วละครับ เดินมาจนถึงฐานที่ 4รู้สึกว่ารุ่นพี่ที่คุมแถวบอกว่าเป็น ฐานของคณะครุศาสตร์ นะครับ ไม่รู้จะจะโหดมันฮาสักแค่ไหน แต่ที่รู้คือฝนเพิ่งตกเส่ทและที่ฐานนี้มีแต่โครนผมว่ามีสกปรกกันแน่รอบนี้และมันก็เป็นอย่างที่ผมคิด โดนสั่งให้ไปนั้งบนโครนกันทุกคนโดนกันทั่วหน้า และ ก็ได้เล่นเกม ส่งยางวงให้กัน โดนใช้หลอดยาวเป็นตัวช่วยในการส่งบอกได้เลยว่าเล่นยากนะครับสำหรับเกมนี้แต่มันดีตรงที่ถ้าใครได้อยู่ไกล้ผู้หญิงที่สวยๆมันก็จะทำให้เราได้เอาหน้าเข้าไปไกล้ๆด้วย แต่ผมอยู๋ไกล้ผู้ชายซึ่งทำให้ผมเซ็งเลย และการรับน้องของฐานนนี้ก็จบลงกลุ่มของเราก็ออกเดินทางไปฐานที่ 1 ต่อ เอ๋ะ ! ลืมบอกไปอย่างสิ่นะครับ ว่า ฐานการรับน้องทั้งหมด มีอยู่ด้วยกัน 4 ฐานนะครับ ซึ่งแต่ละกลุ่มจะเริ่มฐานไม่เหมือนกันจะวนๆกันไปจนครบครับ เข้าเรื่องกันต่อ กลุ่มเราได้เดินมาจนถึงฐาน  1 เป็นฐานอะไรก็ไม่รู้ แต่เท่าที่ผมเห็น มันมีซุ่มต่ำๆเตี้ยๆ แล้วก็เอากิ้งไม้ใบไม้ มาว่างทับๆใว ผมว่ามันต้องให้เรารอกเข้าไปในนั้นด้วยแน่เลยแหละยิ่งเดินเข้าไปไกล้ก็ยิ่งเห้นว่าที่พื่นไม่ใช่ดินอีกด้วยแต่เป็นน้ำโครนได้เปียกกันอีกแล้วละครับแต่ไหนๆผมก็มารับน้องแล้วผมก็ไม่มีข้อโต้แย่งอะไรผมก็เลยลงๆไปตามที่เข้าสั่งซึ่งระยะอุโมงนั้นก็ยาวพอสมครบกว่าผมจะรอดออกมาได้ เล่นเอาเปียกไปทั้งตัวเลยแถมยังมีโครนติดตัวมาด้วยทำให้ร็สึกคันๆนิดหน่อยแต่ก็จบฐานที่ 1 ไปได้ และเดินต่อไปยังฐานที่ 2 แต่ก่อนจะเดินไปที่ฐานที่ 2 พวกรุ่นพี่ที่คุมแถวบอกให้พัก รับประทานอาหารกลางวันกันก่อน ซึ่งทาง มหาวิทยาลัยได้จัดเตรียมข้าวกล่องใวให้เรียบร้อยแล้ว ได้พักรับประทานอาหารกลางวันประมาณครึ่งชั่วโมง พอทุกคนทานกัน เสร็จกันหมดเรียบร้อยแล้วพวกเราก็เริ่มเดินกันไปต่อยังฐานที่ 2 และกลุ่มเราก็เดินกันมาถึง ซึ่งในฐานนี้เป็นฐานที่ต้องใช้ความสามัคคีซึ่งมีเกมหวัดความสามัคคีโดยให้กลุ่มของเราแบ่งอกกเป็นกลุ่ม ย่อยๆ ประมาน 7-8 กลุ่ม เพื่อให้สะด่วกในการเล่นเกมและเกมที่พวกเราได้เล่นนั้นก็คือเกมอะไรก็ไม่รู้ไม่รู้จักชื่อและพวกรุ่นพี่ที่เฝ้าฐานก็เอากระดาษแผ่นใหญ่พอสมควรมาให้และก็บอกมาว่าให้พวกเราที่แบ่งกลุ่มย่อยๆนั้นนะ เข้าไปอยู่ในกระดาษนั้นให้ได้โดนจะใส่วิธีดะไรรูปแบบไหนก็ได้โดยที่ห้ามให้เท้าของใครในกลุ่มออกมาเหยี่บนอกกระดาษเป็นอันขาดถ้ากลุ่มไหนทำไม่ได้ก็จะโดนทำโทษโดยการออกมาเต้นเพลงต่างตามที่รุ่นพี่ที่เฝ้าฐานสั้งและต้องอยู่พายในกระดาษนั้นให้ได้ 20 วินาที แหละกลุ่มย่อยพวกผมก็ทำได้เลยไม่ถูกทำโทษแต่ก็มีอยู่อีกกลุ่มหนึ่งทำไม่ได้เลยถูกทำโทษเต้นเพลงต่างๆขนาดผมเป็นคนดูผมยังอายแทบเลยฮ่าๆๆ และการรับน้องของฐานที่ 2 ก็จบลงกว่าจะรับน้องของแต่ละฐานเสร็จก็เย็นมากแล้วแต่ก็ยังมีงานเฟรชชี่ไนท์ ต่อ เขาให้พวกผม มาโหวดดาวเดือนปะจำรุ่นต่อและร้องเพลงถวายพระพรแด่พระเจ้าอยู่หัวอีกด้วยแหละก็เสร็จสิ้นพิธีการรับน้องของ รุ่นผม จบการรัยน้องแบบ Happy กันทั่วหน้า


๑ วันอังคาร